ทำไมระบบ HR ของโรงพยาบาลจึงไม่เหมือนใคร?

Why-Hr-Sysystem-Hospital-Difference (1)

ในโลกธุรกิจทั่วไป ระบบ HR มีหน้าที่หลักในการสรรหา พัฒนา รักษา และบริหารจัดการบุคลากรให้องค์กรดำเนินไปได้อย่างราบรื่น แต่เมื่อพูดถึง “โรงพยาบาล” ซึ่งเป็นองค์กรที่ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ และเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้คนโดยตรง บทบาทของ HR ก็จะซับซ้อนและมีมิติที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิงครับ มาดูกันว่าทำไมระบบ HR ของโรงพยาบาลจึงต้องมีความเฉพาะเจาะจง และอะไรคือความท้าทายที่ระบบ HR ทั่วไปไม่สามารถตอบโจทย์ได้


ทำไมระบบ HR ของโรงพยาบาลจึงไม่เหมือนใคร?

1. ความหลากหลายและเฉพาะทางของตำแหน่งงาน

  • ธุรกิจทั่วไป: อาจมีตำแหน่งงานที่หลากหลาย แต่ไม่ซับซ้อนเท่าโรงพยาบาล เช่น พนักงานออฟฟิศ, ฝ่ายผลิต, ฝ่ายขาย
  • โรงพยาบาล: มีบุคลากรทางการแพทย์ที่หลากหลายสาขาและระดับความเชี่ยวชาญสูง ตั้งแต่แพทย์เฉพาะทาง (ศัลยแพทย์, อายุรแพทย์, กุมารแพทย์ ฯลฯ), พยาบาลวิชาชีพ, ผู้ช่วยพยาบาล, เภสัชกร, นักเทคนิคการแพทย์, นักกายภาพบำบัด ไปจนถึงเจ้าหน้าที่ธุรการและฝ่ายสนับสนุน ซึ่งแต่ละตำแหน่งมีคุณสมบัติ ใบอนุญาต และทักษะเฉพาะทางที่แตกต่างกันอย่างมาก การบริหารจัดการบุคลากรเหล่านี้จึงต้องละเอียดอ่อนและแม่นยำ

2. ข้อกำหนดและกฎระเบียบที่เข้มงวด

  • ธุรกิจทั่วไป: อยู่ภายใต้กฎหมายแรงงานและข้อบังคับทั่วไป
  • โรงพยาบาล: ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและข้อบังคับทางการแพทย์ที่เข้มงวด ทั้งจากแพทยสภา สภาการพยาบาล กระทรวงสาธารณสุข และหน่วยงานกำกับดูแลอื่นๆ รวมถึงมาตรฐานความปลอดภัยของผู้ป่วย (Patient Safety) และจรรยาบรรณวิชาชีพ การจัดการใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ การต่ออายุ และการติดตามการฝึกอบรมต่อเนื่อง (CME) เป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องมีระบบรองรับ

3. การจัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนและเป็นความลับ

  • ธุรกิจทั่วไป: ข้อมูลพนักงานส่วนใหญ่เป็นข้อมูลส่วนบุคคลทั่วไป
  • โรงพยาบาล: บุคลากร HR มีหน้าที่จัดการข้อมูลที่ละเอียดอ่อนของบุคลากรทางการแพทย์ ซึ่งอาจรวมถึงประวัติการทำงานในสถานพยาบาลอื่น ประวัติการถูกฟ้องร้อง หรือข้อมูลสุขภาพส่วนบุคคลที่ต้องได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) หรือ HIPAA ในบางประเทศ

4. การดำเนินงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์

  • ธุรกิจทั่วไป: ส่วนใหญ่มีเวลาทำการที่ชัดเจน
  • โรงพยาบาล: ต้องเปิดให้บริการตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด ทำให้การบริหารจัดการกะการทำงาน (Shift Management) เป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่ง บุคลากรต้องพร้อมปฏิบัติหน้าที่เสมอ เพื่อรองรับสถานการณ์ฉุกเฉินและดูแลผู้ป่วยอย่างต่อเนื่อง

5. การพัฒนาและฝึกอบรมบุคลากรอย่างต่อเนื่อง

  • ธุรกิจทั่วไป: การฝึกอบรมอาจเน้นที่ทักษะเฉพาะด้านหรือการพัฒนาอาชีพ
  • โรงพยาบาล: การพัฒนาบุคลากรทางการแพทย์เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ทันต่อความก้าวหน้าทางการแพทย์ เทคโนโลยีใหม่ๆ และการรักษาพยาบาลที่ซับซ้อนขึ้น ระบบ HR ต้องสามารถติดตามและจัดการการฝึกอบรมภาคบังคับ การต่อใบอนุญาต และการพัฒนาทักษะเฉพาะทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ

หัวใจสำคัญของการจัดการกะตารางเวลาของบุคลากรทางการแพทย์ (Work Shift Management) ในระบบ HR สำหรับโรงพยาบาล

นี่คือจุดที่ระบบ HR ของโรงพยาบาลแตกต่างจากระบบทั่วไปอย่างชัดเจน และเป็นความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดครับ

ความซับซ้อนที่ระบบทั่วไปรับมือไม่ได้

ระบบ HR ทั่วไปมักออกแบบมาเพื่อการลงเวลาเข้า-ออก หรือการจัดการวันลา แต่ไม่สามารถรองรับการจัดกะที่ซับซ้อนของโรงพยาบาลได้เลย ลองนึกภาพการจัดกะของพยาบาลในแผนกฉุกเฉิน หรือการจัดเวรของแพทย์เฉพาะทางที่ต้องครอบคลุมตลอด 24 ชั่วโมง โดยคำนึงถึง

  • จำนวนบุคลากรที่เหมาะสม: ต้องมีจำนวนแพทย์และพยาบาลที่เพียงพอในแต่ละกะ แต่ละแผนก เพื่อให้การดูแลผู้ป่วยเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีคุณภาพ
  • ทักษะและความเชี่ยวชาญ: การจัดกะต้องคำนึงถึงทักษะเฉพาะทางของบุคลากร เช่น พยาบาลห้องผ่าตัดต้องอยู่ห้องผ่าตัด, แพทย์อายุรกรรมต้องอยู่เวรอายุรกรรม
  • ข้อจำกัดทางกฎหมายและระเบียบ: ต้องปฏิบัติตามชั่วโมงการทำงานสูงสุด ชั่วโมงพักผ่อนขั้นต่ำ และข้อกำหนดอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการทำงานล่วงเวลา
  • ความต้องการของบุคลากร: การพิจารณาความต้องการส่วนบุคคล เช่น การลาหยุด, การแลกเปลี่ยนกะ, หรือความต้องการพิเศษอื่นๆ เพื่อรักษาสมดุลชีวิตการทำงาน
  • การจัดการความเหนื่อยล้า (Fatigue Management): การจัดกะที่ไม่เหมาะสมอาจนำไปสู่ความเหนื่อยล้าของบุคลากร ซึ่งส่งผลกระทบโดยตรงต่อความปลอดภัยของผู้ป่วย

ระบบ HR สำหรับโรงพยาบาลเข้ามาช่วยได้อย่างไร

  • การตั้งค่ากะที่หลากหลาย: รองรับการตั้งค่ากะได้ตั้งแต่กะปกติไปจนถึงกะที่ซับซ้อนสูง เช่น กะของบุคลากรในโรงงาน หรือกะเฉพาะทางในโรงพยาบาล รวมถึงการจัดการกลุ่มกะและกะย่อย เพื่อให้ครอบคลุมทุกความต้องการในการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
  • การเชื่อมโยงข้อมูลเวลาทำงาน (Time Attendance) ที่แม่นยำ: ข้อมูลเวลาทำงานของบุคลากรจะถูกเชื่อมโยงโดยตรงเข้าสู่ระบบ HR ทำให้ข้อมูลมีความแม่นยำและเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ ลดความผิดพลาดจากการบันทึกด้วยมือ
  • การคำนวณค่ากะตามเงื่อนไข: ระบบสามารถคำนวณค่ากะต่างๆ เช่น ค่ากะดึก หรือค่าตอบแทนพิเศษอื่นๆ ตามเงื่อนไขการทำงานที่กำหนดไว้ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ
  • การจัดการการลาและการแลกเปลี่ยนกะ (Leave & Swap Management): บุคลากรสามารถยื่นคำขอลา หรือแลกเปลี่ยนกะผ่านระบบได้เอง ซึ่งช่วยลดภาระงานของ HR และเพิ่มความยืดหยุ่น
  • การติดตามชั่วโมงการทำงานล่วงเวลา (Overtime Tracking): ระบบสามารถคำนวณและติดตามชั่วโมงการทำงานล่วงเวลาได้อย่างแม่นยำ เพื่อให้การจ่ายค่าตอบแทนเป็นไปอย่างถูกต้อง
  • การรายงานและวิเคราะห์ (Reporting & Analytics): สร้างรายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพการจัดกะ, อัตราการขาดงาน, หรือข้อมูลอื่นๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อการวางแผนกำลังคน

ATHM คือระบบ HR ที่พัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความซับซ้อนและข้อกำหนดเฉพาะของสถานพยาบาลโดยเฉพาะ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการกะที่ยืดหยุ่น การเชื่อมโยงข้อมูลเวลาทำงานที่แม่นยำ หรือการคำนวณค่ากะที่ซับซ้อน ATHM พร้อมเป็นผู้ช่วยให้งาน HR ของคุณง่ายขึ้นและมีประสิทธิภาพสูงสุด เรียนรู้เพิ่มเติมได้ที่ คลิก


คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับระบบ HR สำหรับโรงพยาบาล

Q1: ระบบ HR สำหรับโรงพยาบาลคืออะไร?
A1: ระบบ HR สำหรับโรงพยาบาลคือซอฟต์แวร์หรือแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาโดยเฉพาะเพื่อบริหารจัดการทรัพยากรมนุษย์ในสถานพยาบาล โดยคำนึงถึงความซับซ้อนและความต้องการเฉพาะของบุคลากรทางการแพทย์ เช่น การจัดการใบอนุญาต, การจัดกะตารางเวลา, และการติดตามการฝึกอบรมทางการแพทย์ครับ

Q2: ระบบ HR ของโรงพยาบาลแตกต่างจากระบบ HR ทั่วไปอย่างไร?
A2: แตกต่างกันหลักๆ คือ ระบบ HR โรงพยาบาลต้องรองรับความหลากหลายของตำแหน่งงานทางการแพทย์, ปฏิบัติตามกฎระเบียบและข้อกำหนดทางการแพทย์ที่เข้มงวด, จัดการข้อมูลบุคลากรที่ละเอียดอ่อน, และที่สำคัญที่สุดคือการจัดการกะตารางการทำงานตลอด 24 ชั่วโมง 7 วันต่อสัปดาห์ ซึ่งระบบ HR ทั่วไปมักไม่มีฟังก์ชันเหล่านี้ครับ

Q3: ทำไมการจัดกะตารางเวลาของบุคลากรทางการแพทย์จึงซับซ้อนมาก?
A3: ซับซ้อนเพราะต้องคำนึงถึงหลายปัจจัยพร้อมกันครับ เช่น จำนวนบุคลากรที่เพียงพอในแต่ละกะ, ทักษะและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางของบุคลากร, ข้อจำกัดด้านชั่วโมงการทำงานตามกฎหมาย, การจัดการความเหนื่อยล้าของบุคลากร, และความต้องการส่วนบุคคล ซึ่งทั้งหมดนี้ส่งผลต่อคุณภาพการดูแลผู้ป่วยโดยตรงครับ

Q4: ควรพิจารณาคุณสมบัติใดบ้างเมื่อเลือกระบบ HR สำหรับโรงพยาบาล?
A4: ควรพิจารณาคุณสมบัติหลักๆ ได้แก่:
1. การจัดการกะตารางเวลาที่ยืดหยุ่นและหลากหลาย ที่สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการและข้อจำกัดของโรงพยาบาล
2. การเชื่อมโยงข้อมูลเวลาทำงานที่แม่นยำ เพื่อความถูกต้องของข้อมูล
3. การจัดการใบอนุญาตและคุณสมบัติ: เพื่อติดตามและต่ออายุใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ ระบบจัดการการเรียนรู้ (LMS): สำหรับการฝึกอบรมและพัฒนาทักษะทางการแพทย์
4. การบริหารผลการปฏิบัติงาน: ที่รองรับการประเมินผลงานทางคลินิก
5. การจัดการค่าตอบแทนและสวัสดิการ: ที่ซับซ้อนสำหรับบุคลากรทางการแพทย์
ความปลอดภัยของข้อมูล: เพื่อปกป้องข้อมูลส่วนบุคคลที่ละเอียดอ่อนครับ

Q5: ระบบ HR ทั่วไปสามารถนำมาปรับใช้กับโรงพยาบาลได้หรือไม่?
A5: โดยทั่วไปแล้ว ระบบ HR ทั่วไปอาจรองรับฟังก์ชันพื้นฐานบางอย่างได้ เช่น การลงเวลา หรือการจัดการข้อมูลพนักงานเบื้องต้น แต่จะไม่สามารถรองรับความซับซ้อนและข้อกำหนดเฉพาะของโรงพยาบาลได้ทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องการจัดกะตารางเวลา การจัดการใบอนุญาต และการปฏิบัติตามกฎระเบียบทางการแพทย์ การลงทุนในระบบ HR ที่ออกแบบมาสำหรับโรงพยาบาลโดยเฉพาะจึงมีความจำเป็นมากกว่าครับ


สรุป: การลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อการดูแลบุคลากรและผู้ป่วย

พี่บอสครับ การเลือกระบบ HR ที่เหมาะสมสำหรับโรงพยาบาลไม่ใช่แค่การลงทุนในเทคโนโลยี แต่เป็นการลงทุนใน “บุคลากร” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการดูแลสุขภาพที่ดี ระบบ HR ที่ถูกออกแบบมาอย่างเข้าใจความต้องการเฉพาะของโรงพยาบาล จะช่วยให้ฝ่าย HR ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลดความผิดพลาดในการบริหารจัดการบุคลากร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของการจัดกะตารางเวลาที่ซับซ้อน

เมื่อบุคลากรได้รับการดูแลอย่างดี มีตารางงานที่เหมาะสม ไม่เหนื่อยล้าจนเกินไป และได้รับการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ก็จะส่งผลโดยตรงต่อคุณภาพการบริการทางการแพทย์ ความปลอดภัยของผู้ป่วย และชื่อเสียงของโรงพยาบาลครับ แซลมอนหวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์กับพี่บอสและทุกท่านในการทำความเข้าใจและพิจารณาระบบ HR ที่ตอบโจทย์โรงพยาบาลได้อย่างแท้จริงนะครับ!

Footer - ระบบ HRM และ ระบบ HRD ครบวงจร

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

Privacy Preferences

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

Allow All
Manage Consent Preferences
  • Always Active

Save