เครื่องคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
สำหรับพนักงานประจำ (อ้างอิงปีภาษี 2566)
1. รายได้ (Income)
2. ค่าลดหย่อน (Deductions)
การเสียภาษีเป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคนที่มีรายได้ แต่สำหรับพนักงานประจำหรือมนุษย์เงินเดือนหลายคน อาจจะยังสับสนกับวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และรายการลดหย่อนต่างๆ บทความนี้จะสรุปวิธีการคำนวณภาษีแบบเข้าใจง่าย พร้อมตัวอย่างเพื่อให้คุณวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
5 ขั้นตอน สู่การคำนวณภาษี
การคำนวณภาษีมีหลักการง่ายๆ คือ นำรายได้ทั้งปีมาหักลบกับค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนต่างๆ เพื่อให้ได้ “เงินได้สุทธิ” แล้วจึงนำเงินได้สุทธินั้นไปคำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได
สูตรการคำนวณ
(รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน = เงินได้สุทธิ
เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี = เงินภาษีที่ต้องจ่าย
ขั้นตอนที่ 1: หารายได้พึงประเมินทั้งปี
รวบรวมรายได้ทุกประเภทที่ได้รับตลอดทั้งปีภาษี (1 ม.ค. – 31 ธ.ค.) สำหรับพนักงานประจำ จะประกอบด้วย:
- เงินเดือน: เงินเดือนต่อเดือน x 12
-
โบนัส: ผลรวมประจำปี
-
รายได้อื่นๆ: เช่น ค่าล่วงเวลา (OT), ค่าคอมมิชชัน
ตัวอย่าง: นาย A มีเงินเดือน 50,000 บาท/เดือน ได้รับโบนัสปลายปี 100,000 บาท
[ รายได้ทั้งปีของนาย A = (50,000 x 12) + 100,000 = 700,000 บาท ]
ขั้นตอนที่ 2: หักค่าใช้จ่าย
สำหรับรายได้ประเภทเงินเดือน กฎหมายให้หักค่าใช้จ่ายได้ 50% ของรายได้ แต่ไม่เกิน 100,000 บาท
ตัวอย่าง (ต่อ): นาย A มีรายได้ 700,000 บาท
[ 50% ของรายได้ = 350,000 บาท เนื่องจากเกินเพดาน 100,000 บาท นาย A จึงหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุด 100,000 บาท ]
ขั้นตอนที่ 3: หักค่าลดหย่อน
ค่าลดหย่อนเป็นสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลง ด้านล่างนี้คือตารางสรุปรายการลดหย่อนหลักๆ ที่จัดหมวดหมู่ให้เข้าใจง่ายเหมือนในสเปรดชีต
ตารางสรุปค่าลดหย่อนภาษี
หมวดหมู่ | รายการ | จำนวนเงินที่ลดหย่อนได้ | หมายเหตุ |
กลุ่มส่วนตัวและครอบครัว | ค่าลดหย่อนส่วนตัว | 60,000 บาท | ทุกคนได้รับสิทธิ์นี้ |
คู่สมรส (ไม่มีเงินได้) | 60,000 บาท | ต้องจดทะเบียนสมรสถูกต้องตามกฎหมาย | |
ค่าฝากครรภ์และคลอดบุตร | ตามจริง, ไม่เกิน 60,000 บาท | - | |
ค่าลดหย่อนบุตร (คนแรก) | 30,000 บาท | บุตรคนที่ 2 เป็นต้นไป (เกิดปี 2561+) ลดหย่อนได้ 60,000 | |
ค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดามารดา | 30,000 บาท | บิดามารดาต้องมีอายุ 60 ปีขึ้นไป และมีรายได้ทั้งปีไม่เกิน 30,000 บาท | |
เงินสมทบกองทุนประกันสังคม | ตามจริง, ไม่เกิน 9,000 บาท | - | |
กลุ่มประกันและการลงทุน | เบี้ยประกันชีวิตและประกันสะสมทรัพย์ | ตามจริง, ไม่เกิน 100,000 บาท | - |
เบี้ยประกันสุขภาพตนเอง | ตามจริง, ไม่เกิน 25,000 บาท | เมื่อรวมกับเบี้ยประกันชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท | |
กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ (PVD) / กบข. | ตามจริง, ไม่เกิน 500,000 บาท | เงื่อนไขรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ | |
กองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) | 30% ของเงินได้, ไม่เกิน 200,000 บาท | เงื่อนไขรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ | |
กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) | 30% ของเงินได้, ไม่เกิน 500,000 บาท | เงื่อนไขรวมกับกองทุนเพื่อการเกษียณอื่นๆ | |
PVD/กบข.+RMF+SSF+ประกันบำนาญ | ยอดรวมกันทั้งหมดต้องไม่เกิน 500,000 บาท | เงื่อนไขรวมกลุ่มลงทุน | |
กลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจ | ดอกเบี้ยเงินกู้ยืมเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย | ตามจริง, ไม่เกิน 100,000 บาท | - |
กลุ่มเงินบริจาค | เงินบริจาคทั่วไป | ตามจริง | ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักลดหย่อน |
เงินบริจาคเพื่อการศึกษา/กีฬา/รพ.รัฐ | 2 เท่าของที่จ่ายจริง | ไม่เกิน 10% ของเงินได้หลังหักลดหย่อน |
ตัวอย่าง (ต่อ): นาย A เป็นโสด ไม่มีภาระดูแลใคร จ่ายประกันสังคมเต็มจำนวน 9,000 บาท และจ่ายเบี้ยประกันชีวิต 20,000 บาท
รวมค่าลดหย่อน = 60,000 (ส่วนตัว) + 9,000 (ประกันสังคม) + 20,000 (ประกันชีวิต) = 89,000 บาท
ขั้นตอนที่ 4: คำนวณหาเงินได้สุทธิ
นำตัวเลขจากขั้นตอนที่ 1-3 มาเข้าสูตร
เงินได้สุทธิ = (รายได้ทั้งปี – ค่าใช้จ่าย) – ค่าลดหย่อน
เงินได้สุทธิของนาย A = (700,000 – 100,000) – 89,000 = 511,000 บาท
ขั้นตอนที่ 5: คำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได
นำเงินได้สุทธิที่ได้ไปเทียบกับตารางอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ดังนี้
คำนวณภาษีตามอัตราขั้นบันได
เงินได้สุทธิ (บาท) | อัตราภาษี | ภาษีสูงสุดในแต่ละขั้น | ภาษีสะสม |
0 - 150,000 | 0% | 0 | 0 |
150,001 - 300,000 | 5% | 7,500 | 7,500 |
300,001 - 500,000 | 10% | 2,0000 | 27,500 |
500,001 - 750,000 | 15% | 3,7500 | 65,000 |
750,001 - 1,000,000 | 20% | 50,000 | 115,000 |
1,000,001 - 2,000,000 | 25% | 250,000 | 365,000 |
2,000,001 - 5,000,000 | 30% | 900,000 | 1,265,000 |
5,000,001 ขึ้นไป | 35% | - | - |
การคำนวณภาษีของนาย A (เงินได้สุทธิ 511,000 บาท):
- ขั้นที่ 1 (0 – 150,000): 150,000 บาทแรก ได้รับการยกเว้น = 0 บาท
- ขั้นที่ 2 (150,001 – 300,000): (300,000 – 150,000) x 5% = 150,000 x 5% = 7,500 บาท
- ขั้นที่ 3 (300,001 – 500,000): (500,000 – 300,000) x 10% = 200,000 x 10% = 20,000 บาท
- ขั้นที่ 4 (500,001 – 750,000): ส่วนที่เหลือ (511,000 – 500,000) x 15% = 11,000 x 15% = 1,650 บาท
ภาษีที่นาย A ต้องจ่าย = 0 + 7,500 + 20,000 + 1,650 = 29,150 บาท
การทำความเข้าใจวิธีการคำนวณภาษีและสิทธิลดหย่อนต่างๆ จะช่วยให้คุณวางแผนการเงินและประหยัดภาษีได้อย่างถูกต้องและเต็มเม็ดเต็มหน่วย อย่าลืมตรวจสอบสิทธิลดหย่อนใหม่ๆ ในแต่ละปีภาษีด้วยนะครับ